ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชื่อเล่น ปู เกิดวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2510 เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 28, นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย , อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคเพื่อไทย, กรรมการและเลขานุการมูลนิธิไทยคม ด้วยวัย 44 ปี จัดว่าเป็นนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งอายุน้อยที่สุดในรอบกว่า 60 ปี
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตต ต่อมาเป็นผู้บริหารในธุรกิจซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ผู้เป็นพี่ชาย และภายหลัง เป็นประธานบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ทักษิณ เสนอชื่อยิ่งลักษณ์เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยได้ผู้แทนราษฎร 265 ที่นั่ง นับเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ไทยที่พรรคการเมืองพรรคเดียวครองเสียงข้างมากในสภา จากนั้นยิ่งลักษณ์ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สืบต่อจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 และรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากการรักษาการในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เนื่องจากการย้ายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2510 เป็นบุตรของเลิศ และยินดี ชินวัตร (สกุลเดิม ระมิงค์วงศ์) สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นจากโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย มัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เข้ารับพระราชทานปริญญารัฐศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สิงห์ขาวรุ่น 21) เมื่อปี พ.ศ. 2531 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต ที่มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตต สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2533
ยิ่งลักษณ์เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของเลิศ ชินวัตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ และยินดี ชินวัตร ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าจันทร์ทิพย์ ระมิงค์วงศ์ (หลานตาของเจ้าไชยสงคราม สมพมิตร ณ เชียงใหม่ ซึ่งสืบเชื้อสายจากพระเจ้าช้างเผือกธรรมลังกา พระเจ้านครเชียงใหม่) ยิ่งลักษณ์มีพี่น้อง 10 คน อาทิ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, เยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติ, เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และพายัพ ชินวัตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นน้องสะใภ้ของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านทางเยาวภาผู้เป็นพี่สาว
ยิ่งลักษณ์เป็นหลานอาของสุเจตน์ ชินวัตร อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ และสุรพันธ์ ชินวัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพลเอก ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยพลเอก ชัยสิทธิ์เป็นบุตรชายของพันเอกพิเศษ ศักดิ์ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายคนโตของเลิศ ยิ่งลักษณ์ยังเป็นญาติของพลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่านทางคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาของทักษิณอีกด้วย
ยิ่งลักษณ์สมรสกับอนุสรณ์ อมรฉัตร อดีตผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทเอ็มลิงก์เอเชียคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อปี พ.ศ. 2538 โดยมีนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานในพิธีมงคลสมรส แต่มิได้จดทะเบียนสมรส โดยมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคนคือ ศุภเสกข์ อมรฉัตร (ชื่อเล่น: ไปค์)
เมื่อปี พ.ศ. 2534 ยิ่งลักษณ์เริ่มเข้าทำงานที่บริษัทชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทเทเลอินโฟมีเดีย จำกัด (มหาชน)) ซึ่งเป็นธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ฐานข้อมูลและการสื่อสาร ในตำแหน่งพนักงานฝึกหัดด้านการตลาดและการขาย หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ จนกระทั่งสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายผลิตในเวลาต่อมา จากนั้น พ.ศ. 2537 จึงมาเป็นผู้จัดการทั่วไป ของบริษัทเรนโบว์ มีเดีย ซึ่งเดิมเป็นแผนกงานโฆษณา ของบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ไอบีซี; ปัจจุบันคือทรูวิชั่นส์) โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนลาออกจากไอบีซีคือรองกรรมการผู้อำนวยการ จากนั้นในปี พ.ศ. 2545 เข้าสู่แวดวงธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์และการสื่อสาร ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานตลาด บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น โดยขึ้นถึงประธานกรรมการบริหารบริษัทเป็นตำแหน่งสุดท้าย
หลังจากสกุลชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ให้แก่เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ ยิ่งลักษณ์ก็ลาออกจากตำแหน่งในเอไอเอส โดยก่อนหน้านั้น เธอขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2548 เพื่อไปบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือ บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตรโดยตรง ด้วยการเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ดูแลพอร์ตการลงทุนพัฒนาที่ดินทั้งหมดแทนบุษบา ดามาพงศ์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2549 และยังเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี เมื่อปี พ.ศ. 2550 ในยุคที่ทักษิณเป็นประธานสโมสรฯ นอกจากนี้ ยังเป็นอดีตที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการต่างประเทศ ของวุฒิสภา ปัจจุบัน ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่ง กรรมการและเลขานุการมูลนิธิไทยคม เพื่อการศึกษาของเยาวชนและสาธารณกุศลต่าง ๆ ที่ทักษิณเป็นผู้ก่อตั้ง
เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ ในราวปลายปี พ.ศ. 2551 และหลังจากนั้นก็มี ส.ส.กับสมาชิกพรรคจำนวนมาก ย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ก็เป็นทางเลือกแรกของทักษิณ ที่จะให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธโดยกล่าวว่า ตนไม่เคยต้องการจะเป็นนายกรัฐมนตรี และเพียงแต่สนใจจะทำธุรกิจของตนเท่านั้น โดยเธอจะเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นบางครั้ง เฉพาะเมื่อทางพรรคส่งจดหมายเชิญเท่านั้นยงยุทธ วิชัยดิษฐจึงได้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแทน
การรั่วไหลของโทรเลขภายในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2554 เปิดเผยว่า ระหว่างการประชุมเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552 อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพันธมิตรใกล้ชิดกับทักษิณ (คาดว่าเป็นสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) กล่าวแก่อีริก จี.จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยว่า เขาไม่คิดว่ายิ่งลักษณ์จะมีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทย และว่า "ตัวทักษิณเองไม่ได้กระตือรือร้น ที่จะยกเธอให้สูงขึ้นภายในพรรค และมุ่งให้ความสำคัญ ในการหาทางให้เขา ยังมีส่วนร่วมในทางการเมืองอยู่มากกว่า" อย่างไรก็ตาม โทรเลขภายในต่อมา ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เอกอัครราชทูตหมายเหตุว่า ในการประชุมกับยิ่งลักษณ์ เธอพูดด้วยความมั่นใจเกี่ยวกับ "ปฏิบัติการ ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย" ของพรรคเพื่อไทย และดูเหมือนจะมี "ความมั่นใจมากขึ้น" กว่าการประชุมครั้งก่อนมาก โทรเลขภายในอ้างถึงยิ่งลักษณ์โดยกล่าวว่า "บางคนสามารถปรากฏออกมาค่อนข้างช้าในเกม เพื่อจะควบคุมพรรคและเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป"
ปลายปี พ.ศ. 2553 ยงยุทธ วิชัยดิษฐแสดงเจตจำนงว่าจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ท่ามกลางภาวะคาดการณ์ว่า จะมีการเลือกตั้งอย่างกะทันหันในช่วงต้นปี พ.ศ. 2554 ยิ่งเพิ่มการโต้เถียงภายในพรรค เกี่ยวกับผู้ที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ตัวเต็งคือยิ่งลักษณ์กับมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลผสม ซึ่งนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนถึงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554 ยิ่งลักษณ์ยังคงไม่ยอมรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยย้ำว่าเธอต้องการมุ่งความสนใจไปยังการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตามเธอได้รับการหนุนหลังจากนักการเมืองอาวุโส (คาดว่าเป็น ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง)
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติเลือกยิ่งลักษณ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 3 กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม เธอมิได้เป็นหัวหน้าพรรค และมิได้เข้าร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรค การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเป็นของทักษิณ โดยเขาให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า "เธอเป็นโคลนของผม" และ "เธอสามารถตอบ 'ใช่' หรือ 'ไม่' ในนามของผมได้"
ยิ่งลักษณ์ระบุว่า การออกพระราชบัญญัติอภัยโทษหรือการนิรโทษกรรม ที่เสนอโดยร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุงนั้น "เป็นเพียงหลักและวิธีการ โดยหลักของส่วนนี้ต้องมาดูว่าจะได้อะไร และต้องมีคณะกรรมการทำหน้าที่พิจารณา โดยมีร้อยตำรวจเอกเฉลิมเป็นหัวเรือ" ร้อยตำรวจเอกเฉลิมระบุว่าความคิดนิรโทษกรรม ไม่ได้ให้ทักษิณเพียงคนเดียว แต่จะให้ทุกคน
ความปรองดองเป็นหลักในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของยิ่งลักษณ์ หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง ที่กินเวลามาตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เธอสัญญาว่าจะให้อำนาจแก่ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) คณะทำงานซึ่งรัฐบาลนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ตั้งขึ้น เพื่อสืบสวนกรณีการเสียชีวิตในระหว่างชุมนุมทางการเมืองเมื่อ พ.ศ. 2553 คอป.เคยแสดงท่าทีว่า งานของคณะกรรมการฯ ถูกขัดขวางโดยทหารและรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ยังเสนอให้นิรโทษกรรมทั่วไป แก่อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเมืองทั้งหมดที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งรวมไปถึงรัฐประหารครั้งนั้นด้วย คำพิพากษาที่ห้ามมิให้กรรมการบริหาร พรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงการยึดทำเนียบรัฐบาลกับท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การสลายการชุมนุมของทหารในปี พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2553 และการวินิจฉัยคดีที่ทักษิณถูกกล่าวหาทางการเมือง ว่าละเมิดอำนาจ ข้อเสนอดังกล่าวถูกโจมตีอย่างรุนแรงโดยฝ่ายประชาธิปัตย์ ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นไปได้ที่จะเป็นการนิรโทษกรรมเฉพาะทักษิณ และจะส่งผลให้เขาได้รับทรัพย์สินมูลค่า 46,000 ล้านบาทที่เคยถูกพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินคืน อย่างไรก็ตามยิ่งลักษณ์ปฏิเสธว่า เธอไม่มีเจตนาจะนิรโทษกรรมแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ประชาธิปัตย์ยังกล่าวโทษพรรคเพื่อไทยว่า เป็นต้นเหตุของการนองเลือด ระหว่างการสลายการชุมนุมของทหาร
ยิ่งลักษณ์ยังอธิบาย "วิสัยทัศน์ 2020" ว่าจะกำจัดความยากจน เธอสัญญาว่าจะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% และลดถึง 20% ภายในปี พ.ศ. 2556 และเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน และค่าแรงขั้นต่ำสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน นโยบายด้านการเกษตรของเธอ รวมไปถึงการเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (operating cashflow) ให้แก่ชาวนา และจัดหาเงินกู้ที่สามารถกู้ได้ มากที่สุดถึง 70% ของรายได้ที่คาดว่าจะได้รับ โดยอาศัยราคาจำนำข้าว 15,000 บาทต่อตัน เธอยังวางแผนที่จะจัดเตรียมระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายสาธารณะ และคอมพิวเตอร์แบบรับข้อมูลด้วยการเขียนบนจอภาพ (แท็บเล็ตพีซี) แก่เด็กนักเรียนทุกคน ซึ่งเคยเป็นนโยบายของพรรคไทยรักไทย แต่กลับถูกรัฐประหารไปเมื่อปี พ.ศ. 2549 เสียก่อน โดยผลสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งเกือบทั้งหมดออกมาว่า พรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะเหนือประชาธิปัตย์อย่างถล่มทลาย
ผลการหยั่งเสียงหน้าคูหาเลือกตั้งชี้ว่า พรรคเพื่อไทยชนะอย่างถล่มทลาย โดยคาดว่าจะได้สูงถึง 310 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ผลอย่างเป็นทางการออกมาว่า พรรคเพื่อไทยได้ 265 ที่นั่ง โดยมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ 75.03% มีบัตรเสียจำนวน 3 ล้านบัตร ซึ่งจำนวนที่มากนี้อาจเป็นสาเหตุของความแตกต่าง ระหว่างผลเอกซิตโพลกับการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ไทยเท่านั้น ที่พรรคการเมืองเดียวจะได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่าครึ่ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทยของทักษิณ
ยิ่งลักษณ์จัดตั้งรัฐบาลผสมอย่างรวดเร็ว กับพรรคชาติไทยพัฒนา (19 ที่นั่ง) พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (7 ที่นั่ง) พรรคพลังชล (7 ที่นั่ง) พรรคมหาชน (1 ที่นั่ง) และพรรคประชาธิปไตยใหม่ (1 ที่นั่ง) รวมแล้วมี 300 ที่นั่ง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณกล่าวว่า เขายอมรับผลการเลือกตั้ง และหลังจากที่พูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพแล้ว จะไม่เข้ามาแทรกแซงการเมือง ด้านผู้บัญชาการทหารบก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งโดยปกติแล้วจะให้สัมภาษณ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทย ปฏิเสธจะให้สัมภาษณ์ใด ๆ
สภาผู้แทนราษฎรมีมติ 296 ต่อ 3 (งดออกเสียง 197 ไม่เข้าประชุม 4) เลือกยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 และมีการจัดเตรียมพิธีรับพระบรมราชโองการไว้พร้อมแล้ว ณ อาคารที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน แต่จากนั้นให้หลังอีกสามวัน จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีลงมา ในวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม ทว่าประกาศลงวันที่ 5 สิงหาคม จากนั้นยิ่งลักษณ์จัดตั้งคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม และเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในวันที่ 10 สิงหาคม
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปต่างประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรีมากถึง 43 ประเทศใช้เวลาในขณะอยู่ต่างประเทศมากถึง 109 วัน
พ.ศ. 2554 ฤดูฝนในประเทศไทยมีระดับปริมาณน้ำฝนสูงที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมาอุทกภัยเริ่มทางภาคเหนือของประเทศ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ยิ่งลักษณ์จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อุทกภัยลุกลามจากภาคเหนือ ไปยังที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทางภาคกลางอย่างรวดเร็ว และจนถึงต้นเดือนตุลาคม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาถูกน้ำท่วมเกือบทั้งหมด อุทกภัยในประเทศไทยครั้งนี้ นับว่าเลวร้ายที่สุดในรอบมากกว่า 50 ปี ยิ่งลักษณ์จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในส่วนกลาง ราวกลางเดือนตุลาคม และออกตรวจเยี่ยมจังหวัดที่ประสบภัย ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม ยิ่งลักษณ์ยังให้สัญญาว่า จะลงทุนในโครงการป้องกันอุทกภัยระยะยาว รวมทั้งการก่อสร้างคลองระบายน้ำ มาตรการลดอุทกภัยถูกขัดขวาง โดยพิพาทระหว่างประชาชน จากสองฝั่งของกำแพงกั้นน้ำ โดยฝั่งที่ถูกน้ำท่วมเข้าทำลายกำแพงกั้นน้ำในหลายกรณี และบางครั้งส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้าด้วยอาวุธผู้นำฝ่ายค้านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและผู้นำทหาร เรียกร้องให้ยิ่งลักษณ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งให้อำนาจแก่ทหารมากขึ้น ในการรับมือกับปัญหาการทำลายกำแพงกั้นน้ำ ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยระบุว่าไม่ช่วยให้การจัดการอุทกภัยดีขึ้น เธอประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และออกประกาศเตือนภัยพิบัติ ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลมากขึ้น ในการจัดการการควบคุมอุทกภัยและการระบายน้ำแทน
นับแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 มีการชุมนุมคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... ซึ่งเดิมวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เป็นผู้เสนอร่าง แต่ภายหลังมีการแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ นำโดยประยุทธ์ ศิริพานิชย์ รองประธานกรรมาธิการ และอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จนมีการคัดค้านจากพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ การคัดค้านดังกล่าวยังมีนิสิต-นักศึกษา นักวิชาการบางส่วน พนักงานเอกชน และนักแสดงส่วนหนึ่ง ทั้งในการชุมนุมต่าง ๆ และในเครือข่ายสังคม โดยนัดหมายให้เปลี่ยนภาพอวตาร ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นตามรูปแบบของป้ายจราจรทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสพื้นสีดำ มีข้อความว่า "คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" คนเสื้อแดงบางกลุ่มก็คัดค้านการนิรโทษกรรมแก่ผู้ใช้อำนาจบริหารและเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนั้น ซึ่งออกและรับคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงกับประชาชน อาทิ กลุ่มวันอาทิตย์สีแดง
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีประกาศว่า สภาผู้แทนราษฎรลงมติถอนร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ และการปรองดองแห่งชาติอีก 6 ฉบับ ออกจากระเบียบวาระทั้งหมดแล้ว จึงขอเรียกร้องให้ยุติการชุมนุม ด้านสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำเวทีราชดำเนิน ประกาศว่าจะชุมนุมต่อ จนกว่ารัฐบาลจะเป็นผู้ถอนร่างเอง
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ได้จัดเวทีชุมนุมที่ลานอเนกประสงค์หลังสนามฟุตบอลเอสซีจี เมืองทองธานี ในวันที่ 10 พฤศจิกายน นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้กล่าวว่า " การชุมนุมวันนี้มีคนเสื้อแดงกทม. ปริมณฑล และในภาคกลาง เดินทางมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก อาทิ จ.นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา ลพบุรี สระบุรี และสมุทรปราการ ทั้งนี้ แกนนำนปช.และพรรคเพื่อไทยได้ประสานความร่วมมือกันเดินสายจัดเวทีเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนและต่อต้านการล้มประชาธิปไตย ล้มล้างรัฐบาล"
ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ของวุฒิสภานั้น มีสมาชิกจำนวนหนึ่ง ร้องขอให้ประธานวุฒิสภา นิคม ไวยรัชพานิช เลื่อนประชุมเป็นวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายนจากเดิมวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน เพื่อลงมติถอนร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับดังกล่าวให้ตกไปโดยเร็ว อันจะเป็นการลดความตึงเครียด ของสถานการณ์บ้านเมือง แต่กลุ่ม 40 ส.ว. ไม่ยอมเข้าร่วมการประชุมในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน แล้วรวมตัวกันอยู่ภายในห้องประชุมเล็ก อาคารรัฐสภา 2 โดยอ้างมติคณะกรรมการประสานงาน (วิป) วุฒิสภา ที่กำหนดให้มีการประชุม ในวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน แม้ประธานวุฒิสภา และสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานคนที่หนึ่ง จะเข้าเจรจาให้ร่วมการประชุมแล้วก็ตาม ซึ่งสมชาย แสวงการ สมาชิกกลุ่ม 40 ส.ว. ได้อ้างว่า ไม่พอใจการเลื่อนนัดวันประชุม โดยเชื่อว่าเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน วุฒิสภาลงมติเป็นเอกฉันท์ 141 เสียง ยับยั้งร่างพระราชบัญญัติฯ ไว้เป็นเวลา 180 วัน ก่อนจะส่งคืนให้สภาผู้แทนราษฎร
การประท้วงต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556 หลังช่วงที่การเมืองค่อนข้างมีเสถียรภาพนานสองปี จนวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ประกาศทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาขอยุบสภาผู้แทนราษฎร โดยคณะรัฐมนตรีจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
วันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ถอดถอนนายกรัฐมนตรีจากตำแหน่ง จากกรณีมีส่วนใช้อำนาจแทรกแซงการโยกย้ายถวิล เปลี่ยนศรีจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ยิ่งลักษณ์กำลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนบทบาทในโครงการรับจำนำข้าวหลังดำเนินคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างเป็นทางการกับรัฐมนตรีสองคน ป.ป.ช. จะตรวจสอบดูว่าเธอประมาทในฐานะประธาน กขช. หรือไม่ แม้เป็นประธานคณะกรรมการฯ แต่ยิ่งลักษณ์ยอมรับในการอภิปรายไม่ไว้วางใจปี 2556 ว่า เธอไม่เคยร่วมการประชุมของ กขช.
วันที่ 8 พฤษภาคม 2557 ป.ป.ช. ตกลงอย่างเป็นเอกฉันท์ฟ้องคดีอาญายิ่งลักษณ์ในคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงโครงการรับจำนำข้าว โดยอ้างว่าชาวนาหลายล้านคนยังไม่ได้เงิน
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปฏิเสธการเพิ่มหลักฐาน 72 ชิ้นในคดีรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ มีกำหนดการนั่งพิจารณาคดีถอดถอนจากตำแหน่งครั้งแรกในวันที่ 9 มกราคม 2558 มีการตั้งคณะกรรมาธิการซักถาม จำนวน 9 คน
วันที่ 23 มกราคม 2558 สภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติถอดถอนยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่งฐานละเลยต่อหน้าที่ต่อโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลให้เธอถูกห้ามเล่นการเมืองห้าปี นอกจากนี้ ยังถูกแจ้งข้อกล่าวหาทางอาญาต่อโครงการ ซึ่งอาจส่งผลให้ได้รับโทษจำคุกอีกหากพบว่ามีความผิด หลังมีมติดังกล่าว ยิ่งลักษณ์ถูกห้ามแถลงข่าว
วันที่ 24 มกราคม 2558 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐานข้อเท็จจริง ส่วนที่ยิ่งลักษณ์ไม่ยอมรับผลการตัดสิน และว่าเป็นขบวนการทำลายล้างการเมืองนั้น เป็นปกติที่ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย จะแสดงความเห็นแนวทางนี้ ขณะเดียวกันปฏิเสธแสดงความเห็นต่อกระแสข่าวพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้ สนช. วิ่งเต้นถอดถอนยิ่งลักษณ์ เพราะไม่ทราบข้อเท็จจริง และเห็นว่าการถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรีได้ยังไม่ใช่บรรทัดฐานการเมืองในอนาคต แต่เป็นเพราะการเมืองอยู่ในสถานการณ์พิเศษ “แต่ถ้าวิเคราะห์จากการที่คะแนนถอดถอนท่วมท้น จากที่มีการประเมินในตอนแรก น่าจะเป็นเพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่ไปตอบคำถามและข้อมูลหลักฐานที่ประจักษ์ต่อสังคม”
เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานยศแก่ยิ่งลักษณ์ให้เป็นที่ "นายกองใหญ่" ประจำกองอาสารักษาดินแดน ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทักษิณ ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับยิ่งลักษณ์เมื่อ พ.ศ. 2543 จำนวน 2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ซึ่งขณะนั้น ราคาหุ้นดังกล่าวที่ซื้อขายกันในตลาด มีมูลค่า 150 บาท ทำให้ยิ่งลักษณ์ได้ผลประโยชน์หรือส่วนต่างประมาณ 280 ล้านบาท โดยเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสอบสวนการทุจริต
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงที่ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ มีการเจรจาขายหุ้นชินคอร์ปครั้งประวัติศาสตร์กว่า 70,000 ล้านบาท ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก เพื่อขจัดข้อครหาผลประโยชน์แฝง ในการบริหารประเทศของทักษิณ ที่ถูกกล่าวหาว่าอาศัยอำนาจทางการเมือง เอื้อต่อธุรกิจของครอบครัวนั้น พบว่าระดับราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้พบว่า ผู้บริหารกลุ่มชินคอร์ปก็มีการขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีที่ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในชินคอร์ปจำนวน 20 ล้านหุ้น ซึ่งได้ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็ก ไปพร้อมกับครอบครัวนั้น ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548-มกราคม พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเจรจาการซื้อขายหุ้นอย่างชัดเจน โดยในช่วงเดือนเศษ มีการเทขายหุ้น บมจ.เอไอเอส 11 ครั้ง เป็นจำนวน 278,400 หุ้น ในระดับราคาตั้งแต่ 101-113 บาทต่อหุ้น ในกรณีนี้ถือเป็นข้อกังขาว่า ยิ่งลักษณ์ใช้ข้อมูลอินไซเดอร์หรือไม่ เพราะยิ่งลักษณ์เป็นหนึ่งในผู้ที่ตกลงขายหุ้นให้กับเทมาเส็ก ยอมรับทราบข้อมูลการเจรจาตกลงเป็นอย่างดี การที่ขายหุ้น บมจ.เอไอเอสอย่างต่อเนื่องเช่นนั้น ในขณะที่ต่อมาทางกลุ่มผู้ซื้อ ประกาศทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น บมจ.เอไอเอส ในราคาเพียงหุ้นละ 72.31 บาท
ใน พ.ศ. 2543 มีการขายหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทคอร์ปอเรชั่น และบริษัทของครอบครัวชินวัตรอีก 5 แห่ง ให้บริษัทวินมาร์ค จำกัด (Win Mark Limited) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน และวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2546 บจก.วินมาร์ค โอนหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ทั้งหมด ให้กองทุนรวมแวลูอินเวสเมนท์ (Value Investment Mutual Fund Inc.) หรือวีไอเอฟ และวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2546 วีไอเอฟโอนหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ทั้งหมดให้กองทุนโอเวอร์ซีส์โกรวธ์ (Overseas Growth Fund Inc.) หรือโอจีเอฟ และกองทุนออฟชอร์ไดนามิค (Offshore Dynamic Fund Inc.) หรือโอดีเอฟ
วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2546 วีไอเอฟสละสิทธิ์การซื้อหุ้นเพิ่มทุน บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ในราคาพาร์ให้บุตรสาวสองคนของทักษิณ ทั้งที่ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น มีวาระให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย เป็นเหตุให้วีไอเอฟต้องเสียผลประโยชน์ จากส่วนต่างของราคาหุ้น ต่อมาใน พ.ศ. 2547 บจก.วินมาร์คขายหุ้นบริษัทของครอบครัวชินวัตร 5 แห่ง ให้พิณทองทา ชินวัตร และบริษัทของครอบครัวชินวัตรอื่นอีก 2 บริษัทรวมเป็นเงิน 18.8 ล้านดอลลาร์ โดย บจก.วินมาร์คไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุน ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสงสัยว่า บจก.วินมาร์ค วีไอเอฟ โอจีเอฟ และโอดีเอฟ อาจเป็นนิติบุคคลอำพรางการถือหุ้น (นอมินี) ของทักษิณและครอบครัว อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าความเป็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตร กับความวุ่นวายของคดีความที่เกิดขึ้น ส่งผลตัดสินใจซื้อของลูกค้าเอสซีแอสเสทหรือไม่ ยิ่งลักษณ์ตอบว่า "90% ของลูกค้าที่เข้าชมโครงการ รับรู้อยู่แล้วว่าธุรกิจเราเป็นของใครตั้งแต่ทำมา เพิ่งมีลูกค้าเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ขอเงินคืน หลังจากที่รู้ว่าเราเป็นใคร เพราะไม่มั่นใจว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร"
ยิ่งลักษณ์ยังถูกกล่าวหาว่า ช่วยทักษิณปกปิดทรัพย์สิน โดยยิ่งลักษณ์ได้รับหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น 0.68% จาก ทั้งหมด 46.87% ที่ทักษิณและคุณหญิงพจมานมีอยู่ เมื่อปี พ.ศ. 2542 และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ระบุว่ายิ่งลักษณ์ทำธุรกรรมเท็จ โดยเธอกล่าวว่า "ครอบครัวของเธอตกเป็นเหยื่อทางการเมือง"
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เดินทางไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ย่านราชดำริ ในระหว่างที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีผู้นำไปวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง จนก่อให้เกิดการยืนประท้วงกลางที่ประชุมสภาฯ ทำให้ต้องปิดการประชุมสภาฯ ในวันนั้นทันที ร้อยโทหญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ชวนนท์ เทพไท และศิริโชค นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ พูดจาสองแง่ สองง่าม ดูถูกความเป็นเพศหญิง
โดยภายหลังที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงโดยยังไม่ถือว่านายกรัฐมนตรีขาดประชุมตามระเบียบว่าด้วยการลาการประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2548 จึงยังมิอาจถือได้ว่ามีพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 การประชุมในวันดังกล่าวในช่วงแรก ๆ ของการประชุมยังไม่มีประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องชี้แจงต่อที่ประชุม และเมื่อมีงานในความรับผิดชอบที่ต้องเร่งรัด เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จึงมิได้อยู่ร่วมในห้องประชุมสภาในช่วงต้น แต่เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงเดินทางกลับเพื่อร่วมรับฟังโดยทั้งได้ลงชื่อการประชุมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนกรณีร้องเรียนว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไปพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าอาจเป็นเรื่องในทางชู้สาว ผู้ตรวจการฯ เห็นว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่เปิดเผยและมีผู้ร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีหลายคน ประกอบกับไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่ามีการกระทำส่อไปในทางชู้สาว จึงมิอาจถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 จึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณา
นักวิจารณ์รีบชี้ให้ความขาดประสบการณ์การเมืองของยิ่งลักษณ์ โดยว่า เหตุผลหลักที่เธอได้ตำแหน่งเพราะเป็นน้องสาวของพันตำรวจโททักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งแนะว่า บทบาทหลักของเธอคือเพื่อผนึกกำลังผู้ภักดีต่อทักษิณ คือ ผู้ออกเสียงเลือกตั้งชนบทยากจนเป็นหลักผู้รักษาเขาในอำนาจ แล้วทำหน้าที่เป็นผู้แทนโดยเขาปกครองจากโพ้นทะเล
ยิ่งลักษณ์มีความผิดพลาดต่อหน้าสาธารณชนหลายครั้ง ทั้งเรื่องการใช้คำผิด เช่นหญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก หรือการอ่านคำว่าคอนกรีต ผิดเป็น คอ-นก-รีต รวมไปถึงการให้คำนิยามของสถานที่ผิด อย่างอำเภอหาดใหญ่เป็นจังหวัดหาดใหญ่ หรือกรณีเรียกเมืองซิดนีย์ เป็นประเทศซิดนีย์ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ภาษาอังกฤษผิดพลาด ขณะต้อนรับรัฐมนตรีจากต่างประเทศ และการเยือนต่างประเทศหลายครั้ง[ต้องการอ้างอิง] การพูดผิดต่อหน้าสาธารณชนของยิ่งลักษณ์ ระหว่างรับเชิญในรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” โดยเรียกตำแหน่งผู้นำประเทศมาเลเซียว่าประธานาธิบดี ทั้งที่ตำแหน่งผู้นำของมาเลเซียคือนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ยังพบว่ามีการกล่าวค่าประจำหลักตัวเลขผิดพลาด โดยจำนวนตัวเลขดังกล่าวคือ 53,918 ล้านบาท หรือห้าหมื่นสามพันเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท เธอกลับกล่าวว่า ห้าหมื่นสามแสนเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท
ในระหว่างพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ยิ่งลักษณ์ยืนก้มหน้าและใช้มือกดโทรศัพท์มือถือ จนเป็นที่วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมระหว่างรอเข้าสู่พิธีการสำคัญ โดยพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของยิ่งลักษณ์ ชี้แจงแทนผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ว่า เธอกำลังปิดโทรศัพท์ก่อนเริ่มพิธีฯ เนื่องจากในภาพ ตำแหน่งของยิ่งลักษณ์ยืนอยู่หลังผู้บัญชาการเหล่าทัพ แต่ตามตำแหน่งริ้วขบวนในพิธี เธอจะต้องยืนอยู่หน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพ